จอห์น แม็กเอนโร (John McEnroe) คือตัวอย่างคลาสสิกของนักกีฬาที่ “เก่งจัด + ดราม่าจัด” ในคนเดียวกัน ถ้าเราพูดถึงเขาแค่ในฐานะนักเทนนิส เขาคืออัจฉริยะที่เล่นหน้าเน็ตสวยเหมือนงานศิลปะ วางลูกมุมยากได้แบบไม่ต้องออกแรงเยอะ แต่ถ้าเราพูดถึงเขาในฐานะ “บุคลิก” เขาคือจอมโวยกรรมการ เสียงดัง หัวร้อน และสร้างโมเมนต์เดือด ๆ ให้แฟนเทนนิสดูไม่รู้จบ ชื่อ John McEnroe เลยกลายเป็นตำนานที่ผสมทั้งฝีมือ ศิลปะ และความดิบของอารมณ์มนุษย์ในสนามกีฬาไว้ครบ

ในยุคนี้ เวลาเราดูเทนนิสหรือกีฬาใหญ่ ๆ หลายคนก็เพิ่มสีสันด้วยการเช็กสกอร์ หรือร่วมลุ้นกีฬาประเภทอื่นในคืนเดียวกันผ่านแพลตฟอร์มสายกีฬาอย่าง ยูฟ่าเบท ไว้อีกจอหนึ่ง บางคนเปิดเทนนิสข้างหนึ่ง เปิดบอลอีกข้างหนึ่ง ชีวิตแฟนกีฬาก็กลายเป็นมัลติทาสก์สุด ๆ แต่ไม่ว่าจะมีกี่จอ แค่ได้ย้อนดูคลิป John McEnroe โวยกรรมการแล้วพลิกเกมกลับมาชนะ ก็ทำให้รู้สึกว่า “อารมณ์ของกีฬา” มันทรงพลังแค่ไหน
วัยเด็กของ John McEnroe: เด็กเนิร์ดที่ตกหลุมรักกีฬา
John Patrick McEnroe Jr. เกิดเมื่อปี 1959 ที่เมืองไวสบาเดิน ประเทศเยอรมนี (เพราะคุณพ่อทำงานเป็นทหารอเมริกันอาศัยอยู่ที่นั่น) ก่อนจะกลับไปเติบโตในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา “นครแห่งความไม่หลับใหล” ที่เต็มไปด้วยจังหวะชีวิตรวดเร็ว แข่งกันทุกอย่าง — เมืองแบบนี้แหละที่เหมาะกับคนคาแรกเตอร์แรงอย่างเขาสุด ๆ
ตอนเด็ก ๆ McEnroe ไม่ได้เป็นแค่สายกีฬาอย่างเดียว เขาเป็นเด็กที่เรียนดี มีหัวคณิตศาสตร์ มีเซนส์วิเคราะห์ แต่สุดท้ายเขากลับตกหลุมรัก “เทนนิส” เต็ม ๆ เพราะมันเป็นกีฬาที่ใช้ทั้งสมอง กล้ามเนื้อ และความกล้าไปพร้อมกัน
ครอบครัวของเขาไม่ได้มีคอร์ตส่วนตัวหรู ๆ แต่สนับสนุนให้เขาไปซ้อมตามคลับเทนนิสในนิวยอร์ก โค้ชหลายคนพูดเหมือนกันว่า สิ่งที่เห็นชัดตั้งแต่เด็กคือ
- เซนส์การจับมุมบอล
- ความรู้สึกบอลที่ละเอียดมาก
- และ “ท่าทางที่มั่นใจเว่อร์” ตั้งแต่ยังตัวเล็ก
พูดง่าย ๆ คือ แม้ยังไม่ได้เก่งที่สุด แต่เขา “เดินมาแบบไม่คิดว่าตัวเองด้อยกว่าใครตั้งแต่แรก”
จากเด็กคลับเทนนิสสู่เยาวชนระดับชาติ
เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น John McEnroe เริ่มมีชื่อในระดับเยาวชนของอเมริกา เขาเล่นได้ดีทั้งในระดับโรงเรียนและระดับประเทศ และที่โหดกว่านั้นคือ เขาสามารถบาลานซ์ระหว่างชีวิตนักเรียนกับชีวิตนักกีฬาได้อย่างดีในช่วงแรก ๆ
ความพิเศษของเขาคือ “สไตล์การเล่นที่ไม่ค่อยเหมือนคนอื่น”
- คนอื่นอาจจะหวดหนัก ๆ จากท้ายคอร์ต
- แต่ McEnroe ชอบเล่นด้วยสัมผัสบอลที่นิ่ม วางลูกคัต สไลซ์ ดรอป
- ใช้การก้าวหน้าเน็ตเร็ว ๆ รับบอลลูกเดียว แต่จบแต้มเลย
ดูเผิน ๆ เหมือนเขาเล่นชิล ๆ ไม่ออกแรงมาก แต่จริง ๆ แล้วทุกช็อตมีการคำนวณมุม ความแรง และสปีดของคู่แข่งอยู่ข้างใน
เขาเริ่มเข้าร่วมทัวร์นาเมนต์นานาชาติในฐานะเยาวชน และสร้างชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนได้เล่นในรายการใหญ่อย่างวิมเบิลดันในฐานะมือไวลด์การ์ดตอนยังเป็นวัยรุ่น ซึ่งถือว่าเร็วมากสำหรับใครสักคนในยุคนั้น
การแจ้งเกิดในเวทีใหญ่: ขึ้นสู่ท็อปโลกด้วยสไตล์ “เสิร์ฟ–วอลเลย์ขั้นเทพ”
เมื่อ John McEnroe ก้าวขึ้นสู่ระดับโปร เขาก็แทบไม่เสียเวลาในการสร้างความจดจำให้แฟนเทนนิสทั้งโลก ด้วยการเล่นแบบ “เสิร์ฟ–วอลเลย์” ที่สวยกริบและมีเอกลักษณ์มาก
เสิร์ฟของเขาอาจไม่แรงระเบิดแบบสายพาวเวอร์ยุคใหม่ แต่มี
- มุมเสิร์ฟยาก ๆ
- การปั่น และการพรางทิศทาง
- ตามด้วยก้าวเท้าขึ้นหน้าเน็ตที่เร็วและลื่นไหล
พอถึงหน้าเน็ต สิ่งที่เกิดขึ้นคือ “โชว์ของ” — เขาสามารถวอลเลย์ลูกยาก ๆ ให้กลายเป็นวินเนอร์ได้เหมือนเล่นเกมง่าย ๆ น้ำหนักมือของเขาถูกพูดถึงในระดับ “หายาก” คนในวงการใช้คำว่า soft hands (มือที่นิ่มละมุน) แต่ผลลัพธ์คือคมและแรงพอจะจบแต้ม
ช่วงปลายยุค 1970s ถึงต้น 1980s คือช่วงที่ McEnroe เข้าครองวงการบนพื้นหญ้าและฮาร์ดคอร์ตอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในรายการ
- Wimbledon
- US Open
เขากลายเป็นไอคอนลูกหลานนิวยอร์กใน US Open และเป็นคู่ปรับสำคัญของตำนานอย่าง Björn Borg บนสนามหญ้าที่วิมเบิลดัน
บุคลิกหัวร้อน “You cannot be serious!” ที่กลายเป็นวัฒนธรรมป๊อป
พูดถึง John McEnroe ถ้าไม่พูดถึงประโยคดัง “You cannot be serious!” ก็คงไม่ได้ นี่คือประโยคในตำนานที่เขาตะโกนใส่กรรมการเพราะไม่พอใจกับคำตัดสินเรื่อง “บอลดีหรือฟาวล์” ในแมตช์หนึ่ง ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของคาแรกเตอร์หัวร้อนดุเดือดของเขา
McEnroe เป็นคนที่
- ไม่กลัวการปะทะกับกรรมการ
- ไม่กลัวเสียงโห่
- ใช้อารมณ์เป็นส่วนหนึ่งของเกม
ในมุมหนึ่ง มันทำให้เขา “น่าหงุดหงิด” สำหรับคนที่ชอบความสุภาพเรียบร้อยแบบหนังขาวดำ แต่อีกมุมหนึ่ง มันทำให้เขา “โคตรจริง” สำหรับแฟนกีฬา ที่เห็นว่าอารมณ์ดิบ ๆ ของนักกีฬาก็เป็นส่วนหนึ่งของความสวยงามในเกม
ด้วยลีลาการโวย การเดินบ่น การมองแรงคู่แข่ง การคุยกับตัวเอง และการปะทะทางคำพูดในบางจังหวะ — เขาเปลี่ยนคอร์ตเทนนิสให้กลายเป็นเวทีละครชีวิตย่อม ๆ ที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความกดดัน
ตารางสรุปโปรไฟล์ John McEnroe
เพื่อพอเห็นภาพรวมแบบย่อยง่าย ลองดูตารางกันสักหน่อย
| หัวข้อ | รายละเอียด |
|---|---|
| ชื่อเต็ม | John Patrick McEnroe Jr. |
| ชาติ | สหรัฐอเมริกา (เติบโตในนิวยอร์ก) |
| ปีเกิด | 1959 |
| จุดเด่น | เสิร์ฟ–วอลเลย์ขั้นเทพ, มือหน้าเน็ตนิ่ม, เซนส์มุมบอลสูง |
| คาแรกเตอร์ | หัวร้อน, โวยกรรมการ, ใจสู้ไม่ถอย |
| แกรนด์สแลมเด่น | Wimbledon, US Open |
| คู่ปรับในตำนาน | Björn Borg, Jimmy Connors, Ivan Lendl |
| สเตตัสหลังแขวนแร็กเกต | นักพากย์, นักวิเคราะห์, คนดังในวงการสื่อกีฬา |
ศิลปะบนหน้าเน็ต: ทำไม McEnroe ถึงถูกเรียกว่า “ศิลปินในคอร์ต”
สิ่งที่ทำให้ John McEnroe แตกต่างจากคนอื่นอย่างชัดเจนคือ “สัมผัสบอล” กับ “มุมหน้าเน็ต” ทั้งหมดของเขาดูเป็นธรรมชาติสุด ๆ เหมือนสมองรู้ล่วงหน้าว่ามุมไหนคู่แข่งไปไม่ถึง
เวลาเขาเล่นหน้าเน็ต
- วอลเลย์ของเขาไม่ใช่แค่ตีคืนไป แต่เป็นการ “วาง”
- ใช้แรงเบามาก แต่เลือกตำแหน่งที่ทำให้คู่แข่งวิ่งไม่ทัน
- หลายลูกมีการใช้สไลซ์หั่นมุมให้บอลตกแล้วเด้งต่ำจนอีกฝ่ายเหวอ
พอโค้ชยุคใหม่วิเคราะห์เกมของเขาจากเทปเก่า ๆ ก็พบว่า
- เขาสามารถอ่านทิศทางการตีของคู่แข่งได้เร็ว
- เดินเท้าเตรียมตัวดีมาก
- และกล้าเสี่ยงในจังหวะที่คนอื่นไม่กล้าเสี่ยง
นี่คือเหตุผลที่หลายคนเรียกเขาว่า “ศิลปิน” — ไม่ใช่เพราะเขาเจาะสีลงผ้าใบ แต่เพราะเขาใช้แร็กเกตเป็นพู่กัน วาดลูกเทนนิสไปในช่องว่างเล็ก ๆ ของคอร์ตที่คนทั่วไปมองไม่เห็น
McEnroe vs Borg: ศึกภูเขาน้ำแข็งปะทะภูเขาไฟ
ถ้า Björn Borg คือ “ภูเขาน้ำแข็ง” — นิ่ง เงียบ คุมอารมณ์
John McEnroe ก็คือ “ภูเขาไฟ” — เดือด พร้อมระเบิดทุกเมื่อ
ศึกของทั้งคู่ โดยเฉพาะ Wimbledon รอบชิงปี 1980–1981 คือหนึ่งใน Rivalry ที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์กีฬาแบบข้ามยุคข้ามสมัย การปะทะกันของสองสไตล์นี้ทำให้คนดูอินหนักมาก เพราะมันคือการปะทะกันของ
- ระเบียบ vs ความดิบ
- ความนิ่ง vs ความเดือด
- เทนนิสสายวินัย vs เทนนิสสายอัจฉริยะดิบ ๆ
ในมุมเทคนิค บอร์กใช้เกมท้ายคอร์ตที่เหนียวแน่น ส่วน McEnroe ใช้เสิร์ฟ–วอลเลย์ดันเกมเร็วขึ้น แมตช์ของพวกเขาเลยกลายเป็น “สงครามจังหวะ” ที่ลุ้นจนแทบจะลืมหายใจ ทุกแต้มคือการวัดว่า สไตล์ไหนจะคุมเกมได้ในช่วงเวลานั้น
แฟนกีฬายุคนี้กับการเพิ่มสีสันในคืนแมตช์ใหญ่
ทุกวันนี้เวลามีแมตช์ระดับตำนานให้ย้อนดู หรือมีเกมใหญ่แบบนัดชิง Grand Slam หลายคนไม่ได้ดูแค่เทนนิสอย่างเดียว บางคนเปิดอีกจอไว้ตามโปรแกรมบอล บาส หรือกีฬาอื่น ๆ แล้วเช็กสกอร์ผ่านแพลตฟอร์มรวมสายแฟนกีฬาอย่าง ทางเข้า UFABET ล่าสุด เพื่อให้คืนหนึ่งเต็มไปด้วยการลุ้นหลายแบบ
เราเองก็ว่ามันคือสีสันของยุคดิจิทัล แต่อย่างที่เตือนเป็นเพื่อนกันเสมอ การใช้แพลตฟอร์มแบบนี้ควรอยู่ใต้ “การควบคุมเกมชีวิตตัวเอง” เหมือนที่ McEnroe คุมหน้าเน็ตในยุคของเขา — จะบุก จะเสี่ยง จะลุย ก็ต้องรู้จังหวะถอยเหมือนกัน
ช่วงปลายคาเรียร์: เมื่อความเร็วลดลง แต่เซนส์เกมยังโหดเหมือนเดิม
เวลาผ่านไป ความเร็วในการเคลื่อนที่ของ John McEnroe บนคอร์ตก็ลดลงตามอายุ แต่น่าสนใจคือ “เซนส์เกม และมือหน้าเน็ต” ของเขายังอยู่ครบ ทำให้ช่วงปลายคาเรียร์เขายังคงสร้างปัญหาให้คู่แข่งรุ่นใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง
เขาหันไปเน้นเล่นประเภทคู่และคู่ผสมมากขึ้น ซึ่งเหมาะมากกับสไตล์หน้าเน็ตของเขา — พื้นที่ให้เล่นหน้าเน็ตเยอะ ใช้สัมผัสบอลนิ่ม ๆ และไหวพริบแบบจอมเก๋าสร้างจังหวะให้เพื่อนร่วมทีม
แม้จะไม่ได้กวาดแชมป์เดี่ยวในช่วงปลายมากเหมือนยุคพีค แต่เขาก็ยังเป็นตัวละครที่แฟนเทนนิสอยากดูเสมอ เพราะทุกแมตช์ที่มีชื่อ John McEnroe อยู่ ฝ่ายโปรดักชันแทบจะมั่นใจได้เลยว่า “ต้องมีอะไรเกิดขึ้น” ไม่ในคอร์ตก็ข้างคอร์ต
ชีวิตหลังแขวนแร็กเกต: เสียงของ McEnroe ไม่เคยเงียบไปจากวงการ
หลังจากเลิกเล่นระดับโปรเต็มตัว John McEnroe ไม่ได้หายไปจากวงการเทนนิสเลย เขากลายเป็นหนึ่งใน
- นักพากย์และนักวิเคราะห์เทนนิสที่ดังที่สุดคนหนึ่งของโลก
- นักวิจารณ์ที่พูดตรง พูดแรง แต่มีจุดยืนชัดเจน
- ตัวแทนเสียงของ “ยุคเก่า” ที่คอยมองการเปลี่ยนแปลงในยุคใหม่อย่างมีสีสัน
เสียงวิจารณ์ของเขาบางครั้งก็แสบใช้ได้ แต่เพราะเขา “เคยอยู่ในสนามจริง” ในระดับสูงสุด ทำให้หลายคนยังฟังด้วยความเคารพ แม้จะไม่เห็นด้วยทุกมุมก็ตาม
นอกจากนั้น เขายังมีงานด้านสื่อบันเทิง การปรากฏตัวในรายการทีวี ภาพยนตร์ และโปรเจกต์พิเศษต่าง ๆ ที่ล้อเลียนหรือเล่นกับภาพหัวร้อนของตัวเองแบบขำ ๆ กลายเป็นการ embrace บุคลิกตัวเองให้กลายเป็น “แบรนด์” อย่างเต็มตัว
มรดกที่ John McEnroe ทิ้งให้วงการเทนนิส
ถ้าจะสรุปมรดกของ John McEnroe ให้เข้าใจง่าย ๆ เราอาจแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ
1. มรดกทางเทคนิค
- ทำให้โลกเห็นความงดงามของเกมหน้าเน็ตแบบเสิร์ฟ–วอลเลย์
- สร้างมาตรฐานใหม่ของคำว่า “มือหน้าเน็ตดีระดับเทพ”
- เป็นแบบอย่างให้หลายคนเข้าใจว่าเทนนิสไม่ได้มีแต่สายหวดหนักจากท้ายคอร์ต
2. มรดกทางบุคลิก
- แสดงให้เห็นว่า “อารมณ์ดิบ ๆ” ของมนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของกีฬา
- เป็นตัวอย่างของคนที่กล้าเถียง กล้าพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด (แม้จะโดนด่าบ้าง)
- ทำให้คำว่า “You cannot be serious!” กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมป๊อป
3. มรดกทางสื่อ
- สร้างมาตรฐานการเป็นนักพากย์ที่มีทั้งความรู้จริงและความบันเทิง
- เป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนดูรุ่นใหม่กับยุคทองของเทนนิส
- ทำให้คนที่ไม่เคยเห็นเขาเล่นจริง ๆ ยังรู้สึกว่า “อยากไปค้นคลิปแกเล่นสมัยก่อนดูจัง”
FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ John McEnroe
ทำไม John McEnroe ถึงถูกมองว่าเป็นทั้งฮีโร่และวายร้ายในวงการเทนนิส?
เพราะเขามีทั้งฝีมือระดับอัจฉริยะและอารมณ์ที่ดุเดือด เขาทั้งสร้างแมตช์สุดมันและดราม่าสุดปั่น คนเลยแบ่งเป็นสองฝั่ง—บางคนรักในความจริงใจ บางคนไม่ชอบในความหัวร้อน แต่ไม่มีใครเฉย ๆ กับเขา
เขาเก่งที่สุดด้านไหนในเกมเทนนิส?
หน้าเน็ตของ John McEnroe คือตำนาน เสิร์ฟ–วอลเลย์ของเขาถูกยกให้เป็นหนึ่งในชุดทักษะที่สวยงามที่สุดในประวัติศาสตร์เทนนิสชาย มือวอลเลย์ของเขานิ่มและแม่นยำแบบหาคนเลียนแบบยาก
จริงไหมที่เขาโวยกรรมการเพราะอยากเรียกความสนใจ?
ส่วนหนึ่งคืออารมณ์ที่มาจากความเป็นคนจริงจังและเกลียดความผิดพลาด บางส่วนก็กลายเป็น “เครื่องมือ” ที่เขาใช้กดดันระบบและคู่แข่งในเวลาเดียวกัน แต่อย่างน้อยมันก็ออกมาจากบุคลิกจริง ๆ ของเขา ไม่ได้เป็นการแสดงล้วน ๆ
เขาเป็นคู่ปรับของใครบ้างในยุคของเขา?
คู่ปรับสำคัญคือ Björn Borg, Jimmy Connors และ Ivan Lendl ซึ่งแต่ละคนมีสไตล์ต่างกันมาก ทำให้ทุกแมตช์ดูมีเรื่องราวและสีสัน
ทำไมคนชอบเรียกเขาว่า “ศิลปินในคอร์ต”?
เพราะวิธีการเล่นหน้าเน็ตของเขาละเอียดอ่อน ใช้แรงไม่เยอะ แต่ใช้มุม มิติ และมุมมองที่คนทั่วไปไม่เห็น ทำให้ทุกคะแนนที่เขาขึ้นหน้าเน็ตเหมือนภาพวาดที่ค่อย ๆ ถูกวาดจนเต็มเฟรม
ถ้าจะเริ่มดูเกมของ John McEnroe ควรเริ่มจากแมตช์ไหน?
แนะนำให้เริ่มที่ Wimbledon รอบชิง 1980–1981 ที่เจอกับ Björn Borg แล้วต่อด้วยแมตช์เดือดใน US Open กับ Jimmy Connors หรือลองหาคลิป “You cannot be serious!” ดูเพื่อทำความรู้จักด้านหัวร้อนของเขา
เขายังอยู่ในวงการเทนนิสตอนนี้ไหม?
ใช่ เขายังปรากฏตัวบ่อยในฐานะนักพากย์ นักวิเคราะห์ และแขกรับเชิญในรายการเทนนิสต่าง ๆ รวมถึงแมตช์เชิดชูเกียรติของตำนาน
John McEnroe ในความทรงจำของเรา
พอเรามองย้อนกลับไปที่ชื่อ John McEnroe เราไม่ได้เห็นแค่ตัวเลขสถิติ หรือจำนวนถ้วยแชมป์ แต่เราเห็น “มนุษย์คนหนึ่ง” ที่เต็มไปด้วยความสามารถระดับอัจฉริยะ ความหัวร้อน ความดื้อดึง และความซื่อกับความรู้สึกของตัวเองในสนาม
เขาสอนเราแบบอ้อม ๆ ว่า
- กีฬาไม่ได้เป็นแค่เรื่องของสกอร์ แต่เป็นเรื่องของอารมณ์
- ความไม่เพอร์เฟ็กต์ของคน ๆ หนึ่งก็สามารถสร้างความงดงามได้
- และความเป็นตัวของตัวเองอย่างสุดทาง ถ้าผูกกับฝีมือที่แท้จริง มันจะกลายเป็นตำนานได้เสมอ
สำหรับแฟนกีฬาในยุคนี้ เราอาจนั่งดูเทนนิสไป พร้อมเปิดอีกจอเช็กผลกีฬาอื่นผ่านแพลตฟอร์มลุ้นมัน ๆ อย่าง สมัคร UFABET เพื่อเติมสีสันให้คืนแข่งใหญ่ แต่ไม่ว่าเทคโนโลยีจะไปถึงไหน สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ “ความรู้สึกตอนเกมเข้าจุดเดือด” เหมือนตอนที่ John McEnroe โวยกรรมการแล้วกลับมาตีแต้มสำคัญได้ — หัวใจมันเต้นแรงเหมือนเดิม
ท้ายสุด เราอยากให้ชื่อของ จอห์น แม็กเอนโร (John McEnroe) อยู่ในมุมความทรงจำของคุณในฐานะ “ศิลปินหัวร้อนแห่งวงการเทนนิส” คนที่ทำให้เราเข้าใจว่า บางครั้งความสวยงามของกีฬาไม่ได้มาจากความเรียบร้อยไร้ที่ติ แต่มาจากความจริงใจดิบ ๆ ที่เรากล้าแสดงออกในวันที่ลงไปสู้เต็มที่บนคอร์ตมากกว่า 💚🎾